สู้แค่(แรง)หมด

ร้านที่ไม่ได้เป็นเพียงร้านอาหาร แต่เป็นสถานที่ที่สุดแสนจะธรรมดาแต่กลับทำให้เราสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น และความพิเศษที่ถูกต้อนรับอย่างดีเหมือนได้กลับไปรับประทานอาหารที่บ้าน ความเป็นกันเองของเจ้าของร้านหรือเรียกกันว่า มะห์ ที่ในภาษาศาสนาอิสลามนั้นแปลว่า แม่ ก่อนที่จะเริ่มเรื่องราวของต้นกำเนิดการเป็นร้านสู้แค่หมด ร้านอาหาร 10 บาท

ต้องขอกล่าวถึงตั้งแต่แรกเริ่มว่า มะห์ได้ทำการซื้อที่ดินไว้ในราคา 4,000,000 บาท เพื่อที่จะทำธุรกิจขายเครื่องไฟฟ้า และเครื่องเรือน แต่ได้ทำธุรกิจนี้เพียงแค่ 3เดือน โดยมีความหวังที่ว่าการทำธุรกิจนี้จะใช้เวลาผ่อนที่ดินเพียงแค่ 3-4 ปี หนี้ก็จะหมดไป แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดว่าจะเกิดขึ้นก็มาถึง ในปีพ.ศ.2540 เกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ธุรกิจที่เพิ่งเริ่มประสบปัญหาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว และไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เหล่านี้ขึ้น จากที่มีรายได้ในการผ่อนที่ดิน กลับนำมาซึ่งหนี้สินรวมถึงภาระอันหนักอึ้ง เมื่อสิ้นไร้หนทางจะหาเลี้ยงตน จึงเริ่มไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆ โดยไม่ได้ริเริ่มการทำธุรกิจใด จนเวลาผ่านไป 1 ปี มะห์ได้มีโอกาสไปโรงงานไข่ไก่ที่หลานได้รับจ้างทำงาน หลานทำผัดกะเพราเครื่องในไก่ธรรมดา ๆ ให้มะห์ได้รับประทาน มะห์จึงได้สอบถามหลานของมะห์ว่ารับเครื่องในไก่มากจากที่ไหน หลานจึงตอบแก่มะห์ไปว่า มีโรงงานขายเครื่องในไก่เพียงกิโลกรัมละ 8 บาท มะห์เพียงแต่ตกใจมาก เหตุเพราะในเวลานั้นเครื่องในไก่ตามท้องตลาดมีราคาขายอยู่ที่ประมาณ 35-38 บาท จุดกำเนิดเล็ก ๆ ที่มะห์เชื่อว่าเป็นอาชีพที่พระเจ้าประทานมาให้แก่ตนเอง จึงได้ทำการสั่งเครื่องในไก่ไป 40 กิโลกรัม มะห์ได้ประเดิมอาชีพแรกหลังจากวิกฤตทางเศรษฐกิจต้มยำกุ้งที่เกิดขึ้นคืออาชีพ แม่ค้าขายเครื่องในไก่ ถึงแม้การที่รับเครื่องในไก่มาขายนั้นจะต้องคัดส่วนที่เสียออกในปริมาณ 0.2 / 1 กิโลกรัม แต่นี่คือความหวังเดียวในเวลานั้นที่จะชดใช้หนี้สินจำนวน 4,000,000 บาท ที่เหนี่ยวรั้งชีวิตของมะห์เอาไว้ ในตอนนั้นมะห์เพียงแต่นำเครื่องในไก่มาเร่ขาย มีแต่ญาติพี่น้องของมะห์ที่รับซื้อ มะห์เห็นดังนั้นจึงเกิดความเกรงใจต่อญาติพี่น้อง เลยตัดสินใจไปขายที่ตลาดนัด ถึงแม้จะไม่รู้ว่าปลายทางจะเป็นอย่างไร เมื่อเวลาผ่านไปธุรกิจนี้ของมะห์ก็ไม่ได้ประสบผลสำเร็จมากนัก การขายของที่ตลาดนัดเป็นสิ่งที่ทรหด รวมถึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก ตัวมะห์เองก็ทำได้แค่กัดฟันสู้ และอดทนต่อไป จนมีคนรู้จักที่เคารพรัก ท่านเป็นครูอยู่ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ได้ยื่นมือมาช่วยเหลือชักชวนให้มะห์ส่งเครื่องในไก่ให้กับทางโรงเรียนในโครงการอาหารกลางวัน นั่นก็คือแสงสว่างที่ส่องมาในเส้นทางที่มืดมิดในชีวิตของมะห์ มะห์จึงรีบตอบตกลง และนำเครื่องในไก่ส่งให้กับทางโรงเรียน โดยมีกระบวนการทำมากมายเพื่อที่จะได้ของที่สด สะอาด ทำตามขั้นตอนของทางศาสนาอิสลาม ให้น้ำไหลผ่านเครื่องในไก่ทั้งหมด มะห์ได้ส่งเครื่องในไก่ในโครงการอาหารกลางวันของนักเรียนภายในเขตมีนบุรีและหนองจอก หลังจากที่ผู้คนได้มาเห็นว่าเครื่องในไก่สด สะอาด และแพ็คใส่ตู้เรียบร้อย แม่ครัวสามารถทำอาหารได้ทันที จึงได้ลูกค้าเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ในช่วงแรกส่งเครื่องในไก่ได้เพียง 50 – 100 กิโลกรัม กลายเป็น 800 – 1,000 กิโลกรัม / วัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้คิดกำไรจากการขายมากมาย คิดเพียงกิโลกรัมละ 5 บาท นานวันเข้ามะห์ก็ได้คิดทบทวนแก่ตน และทราบว่าการใช้ชีวิตในอาชีพที่ทำอยู่ไม่ได้ทำให้เกิดความสุข วันเสาร์ – อาทิตย์ที่เป็นวันหยุดพัก กลับยังต้องทำงาน ขายเครื่องในไก่อย่างหนักตามละแวกหมู่บ้าน และตามลำคลอง เพื่อที่จะไม่ให้ขาดรายได้ มะห์ได้ตั้งปณิธานกับตัวเองและคู่ชีวิตที่คอยเคียงข้างกันมาว่าถ้าปลดหนี้จนหมดแล้วจะเลิกทำอาชีพนี้ เพราะเป็นอาชีพที่ลำบาก โดยต้องเริ่มตั้งแต่รับจากโรงงานจนถึงขั้นตอนการขาย มะห์และลุงทำด้วยกันเพียงแค่สองคนทุกขั้นตอน แต่ชีวิตก็บอกให้พวกเขาต้องดิ้นรนกันต่อไป ในช่วงอายุเพียงแค่ 40 ปี ที่ยังคงมีแรงกาย และแรงใจในการทำอาชีพนี้

แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดจุดเริ่มต้นประกายเล็ก ๆ ที่นำไปสู่ร้านสู้แค่หมด ในตอนนั้นมะห์มีลูกแต่กลับไม่อยากให้ลูกได้ใช้ชีวิตในละแวกนี้ เนื่องจากมองเห็นสภาพสังคมที่ตนเติบโตมา และเพียงความหวังดีต่อผู้เป็นแม่ที่ต้องการมอบสังคมที่ดีที่สุดให้แก่ลูก มะห์มองเห็นเด็ก ๆ หลายคนตามละแวกนั้น จนมะห์เชื่อว่ามะห์ได้เข้าใจในสัจธรรม เพราะมีเด็ก ๆ ในบริเวณหมู่บ้าน แต่งตัวขาดหลุดลุ่ย ได้มาขอเข้ามาบริเวณบ้านมะห์เพื่อเล่นของเล่น ตอนแรกมะห์ก็ไม่สนใจแต่สุดท้ายมะห์กลับได้คิดทบทวนเกี่ยวกับ สัจธรรมของโลกใบนี้ จึงเกิดความเมตตา ไม่ว่าศาสนาใด หรือเป็นแบบใด ยังคงเชื่อว่ามนุษย์ทุกคนจะมีเมตตาต่อทุกสิ่งร่วมโลก มะห์ให้เด็ก ๆ เหล่านั้นเข้ามาเล่น และเลี้ยงอาหารแก่เด็ก ๆ เด็กทุกคนเพียงแค่ต้องการอาหาร รวมไปถึงความสุขอันแสนเรียบง่ายในแบบของพวกเขา และนั่นก็คือความสุขที่เกิดขึ้นต่อมะห์ที่ได้ช่วยเหลือเด็ก ๆ ถึงแม้ตนเองจะไม่มีฝีมือในการทำอาหารก็ตาม จนมีผู้คนได้บอกกับมะห์ว่า อย่าทำอาหารให้รับประทานฟรี ๆ เพราะผู้คนอื่นก็อยากจะมาระแวกนี้เหมือนกัน มะห์เองก็กังวลมากเพราะตนเองนั้น ไม่ได้มีฝีมือในการทำอาหาร ไม่ได้มีความเป็นแม่บ้านแม่เรือน ถึงแม้จะอยากทำขนาดไหนความกังวลในใจก็ไม่มลายหายไปอยู่ดี จึงปรึกษาคู่ชีวิตที่คอยช่วยเหลือกันเสมอมาว่า ถ้าขายราคาเพียงแค่ 10 บาท คงไม่มีใครว่าอะไรถ้ารสชาติไม่อร่อยเท่าที่ควร สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะเปิดร้าน โดยมีชื่อว่า ร้านสู้แค่หมด ร้านอาหาร 10 บาท เพราะความตั้งใจคือ สู้แค่หนี้หมด แล้วจึงจะปิดกิจการลง ความทรงจำในการเปิดร้านกว่าจะลงตัวเหมือนทุกวันนี้คงต้องมาจากลูกค้าทุกท่าน โดยประเดิมลูกค้ากลุ่มแรกในการเปิดร้านก็คือ กลุ่มจักรยาน เรื่องราวในวันนั้นมะห์ทำอาหารให้คนกลุ่มนี้ไม่ทันจึงต้องให้มาช่วยกันทำทุกคน ต่อจากวันนั้นมะห์เลยเตรียมอุปกรณ์ไว้สำหรับให้ลูกค้าที่เข้ามาทำอาหารได้เอง ไม่ว่าจะทำเมนูอะไรก็สามารถใส่ได้ด้วยตนเองราคาเพียงแค่ 10 บาท

แต่แล้วก็มีลูกค้าสองท่านได้บอกว่า เบื่อฝีมือการทำอาหารของกันและกัน มะห์จึงตัดสินใจกลับมาทำอาหารเองถึงแม้จะทำไม่ค่อยได้ก็ตาม และจนกระทั่งวันนึงมีลูกค้าที่อยากจะรับประทานเนื้อผัดน้ำมันหอย มะห์กังวลมากเพราะในชีวิตประจำวันของมะห์ก็เพียงทำได้แต่ผัดกะเพราธรรมดา ๆ ลูกค้าทุกคนที่เข้ามารับประทานที่ร้านก็เป็นส่วนหนึ่งในการทำแต่ละเมนู สูตรต่าง ๆ ภายในร้านก็มาจากลูกค้าเป็นส่วนใหญ่ จุดเด่นของร้านที่เห็นได้ชัดคือสถานที่กว้างขวางและมีต้นมะพร้าวที่ลูกค้าสามารถเก็บรับประทานเองได้แบบไม่เสียเงิน มีอุปกรณ์ในการเก็บให้เรียบร้อย เมนูที่มะห์มั่นใจที่สุดนั่นก็คือ โรตีมะตะบะ และเครื่องดื่มน้ำใบเตยของลุง เป็นสิ่งที่ใครที่มาร้านสู้แค่หมด ต้องสั่งมารับประทานทุกคน จากการที่มะห์ได้เปิดกิจการร้านอาหารจนเวลาผ่านไป 9 ปี หนี้ที่ดินราคา 4,000,000 บาท ก็ได้หมดไป แต่มะห์กลับเปลี่ยนปณิธานเดิมที่เคยคิดไว้ว่า ถ้าหนี้หมดแล้วจะปิดกิจการลง มะห์กลับพบความสุขของการให้ ไม่ว่าผู้คนนั้นจะเป็นใคร เป็นคนที่ไหน ศาสนาอะไร ผู้คนเหล่านั้นคือ เพื่อนร่วมโลก และนี่คงเป็นเสน่ห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของร้านสู้แค่หมด นั่นก็คือการให้ของมะห์และลุง ทำให้ใครที่ได้ไปสัมผัสก็รู้สึกอบอุ่น อิ่มทั้งกายและใจจากการให้ของมะห์ อย่างไรก็ตามก็ยังคงนับถือในตัวมะห์ที่อดทนและฝ่าฟันมาจนถึงความฝันที่ได้ปลดหนี้ที่มาพร้อมกับความสุข ที่ไม่เพียงแต่เป็นความสุขของผู้ให้เพียงอย่างเดียว แต่ความสุขนั้นส่งต่อมาจนถึงผู้ที่ได้รับ มีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นผู้คนไปที่ร้านของมะห์และได้รับการต้อนรับด้วยความเป็นกันเองอย่างดีเหมือนได้กลับบ้านที่แสนอบอุ่น หลบหนีออกจากความวุ่นวาย โอบล้อมไปด้วยบรรยากาศที่หันไปทางไหนก็พบเจอแต่รอยยิ้ม และกลับเข้าสู่ความธรรมดาที่ยังคงอยู่ในกรุงเทพมหานคร

ร้านอาหาร สู้แค่หมด หนองจอก

พิกัด : https://maps.app.goo.gl/QyvJzjQiQejn45kN8

Ticket2Attraction Experience