รีวิว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ท่องดินแดนมหัศจรรย์ของดิสนีย์ในญี่ปุ่น
Tokyo Disneyland Review: Journey Through Disney’s Magical Tales in Japan

รีวิว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ท่องดินแดนมหัศจรรย์ของดิสนีย์ในญี่ปุ่น

 

โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ นับเป็นสวนสนุกเครือดิสนีย์ยอดฮิตในหมู่คนไทย ด้วยความที่อยู่ใกล้ประเทศไทยมากกว่าปาร์คดั้งเดิมที่อเมริกา บวกกับที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศซึ่งคนไทยจำนวนมากใฝ่ฝันที่จะไปเยือน หรือหลายคนที่ไปมาแล้วก็ติดใจจนต้องกลับไปซ้ำอีกเรื่อย ๆ  อาจเรียกได้ว่าปาร์คนี้ตั้งอยู่ในทำเลทองสำหรับคนไทย และทำออกมาได้ดีแบบไม่ผิดหวัง  โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ จึงกลายเป็นสวนสนุกในดวงใจชาวไทยหลาย ๆ คนไปโดยปริยาย

บล็อกนี้จะเป็นรีวิวการไปเที่ยว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ครั้งล่าสุดของเรา โดยในส่วนของเครื่องเล่นเราจะรีวิวแค่เครื่องเล่นที่เราได้ไปเล่นมาเท่านั้นนะคะ  ซึ่งขอบอกไว้ก่อนว่าตอนนั้นเราไม่ได้ซีเรียสมากว่าจะต้องเก็บให้ครบทุกเครื่อง แต่จะเลือกแค่อันที่เราอยากเล่นเป็นหลัก แล้ววันที่เราไปก็ดันฝนตกซะด้วย จึงทำให้มีช่วงที่ต้องหลบฝนอยู่ประมาณหนึ่ง และทำให้ได้เล่นเครื่องเล่นจำกัดกว่าเดิมลงไปอีก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเราก็ได้เก็บเหล่าเครื่องเล่นตัวตึงของที่นี่มาจนเกือบหมดเลย จะมีอะไรบ้างลองไปดูกันเลยค่า

 

รีวิว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์

1. สิ่งที่ควรรู้ก่อนไป
2. รีวิวโซนและเครื่องเล่นต่าง ๆ
         1.1 World Bazaar
         1.2 Fantasyland
         1.3 Toontown
         1.4 Adventureland
         1.5 Westernland
         1.6 Critter Country
         1.7 Tomorrowland  
3. รีวิวอาหาร
4. สิ่งที่ต้องทำเมื่อไป โตเกียว ดิสนีย์แลนด์    
5. แพ็กเกจทัวร์

       

 

สิ่งที่ควรรู้ก่อนไป โตเกียว ดิสนีย์แลนด์

โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ เหมาะกับใคร?

เราคิดว่าที่นี่เหมาะกับทุกเพศทุกวัยที่ไม่ได้ชอบความหวาดเสียวแบบสุดขั้วค่ะ ที่นี่จะมีเครื่องเล่นพวก dark rides (นั่งรถเข้าไปชมฉากต่าง ๆ) ที่เด็กเล็ก ๆ น่าจะเอ็นจอยอยู่เยอะ ส่วนรถไฟเหาะก็ถือว่าไม่น่ากลัวเกินไป เห็นมีเด็กน้อยต่อแถวเล่นรถไฟเหาะกันอยู่อยู่พอสมควรเลยน้า แต่ก็เป็นระดับความหวาดเสียวในที่ผู้ใหญ่ก็สนุกได้เช่นกัน

 

บัตรเข้าสวนสนุก

เราจะต้องซื้อบัตรเข้าล่วงหน้าก่อนวันไปอย่างน้อย 1 วันนะคะเพราะในตอนนี้ทางปาร์คไม่เปิดให้ซื้อหน้างาน  เขาจะเริ่มเปิดให้จองล่วงหน้า 4 เดือนก่อนถึงวันที่เราตั้งใจจะไป และเราสามารถจองได้ถึง 20:59 น.(เวลาญี่ปุ่น) ในคืนก่อนวันที่เราจะไป  

ส่วนตัวเราจองล่วงหน้าเกือบประมาณ 2 - 3 สัปดาห์ค่ะ เราคิดว่าบัตรไม่ได้หมดเร็วขนาดนั้น จองใกล้ ๆ ก็ยังทัน ยกเว้นในช่วงวันหยุดพิเศษต่าง ๆ ของญี่ปุ่นนะคะ อันนี้ต้องลองเช็คดูดี ๆ น้า

 

ควรไปถึงตอนกี่โมง?

ประตูปาร์คจะเปิดตอน 9 โมง หลาย ๆ คนบอกกันว่าควรไปต่อคิวรอก่อนปาร์คเปิดซัก 30 นาที - 1 ชม. หรือบางคนก็ไปแต่เช้าตรู่เลยตั้งแต่ประมาณ 7:00 - 7:30 น. เพื่อที่พอปาร์คเปิดแล้วจะได้รีบเข้าไปเลย 

ส่วนตัวเราไปหลังปาร์คเปิดแล้ว ไม่ต้องต่อแถวก่อนเข้าเลย แต่ก็จะได้เข้าตอนที่คนอื่นที่มาตั้งแต่ก่อนเปิดเขาเข้าไปต่อคิวเครื่องเล่นกันหมดแล้ว ถ้าใครชิว ๆ แบบเรา ไปประมาณ 9:30 น. ก็โอเคนะคะ อาจจะไม่ใช่เวลาที่คุ้มที่สุด แต่ก็ยังสามารถเก็บเครื่องเล่นที่อยากเล่นได้ครบ

 

บัตร FastPass

ตอนนี้ทาง โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ได้เปลี่ยนบัตร FastPass เป็นบัตร Priority Pass ซึ่งการใช้งานนั้นแทบจะเหมือนเดิมทุกอย่าง บัตร Priority Pass เป็นเหมือนบัตรคิวฟรีที่ช่วยร่นระยะเวลาในการต่อแถวเครื่องเล่น โดยเราจะเข้าไปกดเอาบัตรคิวบนแอพ ดิสนีย์ รีสอร์ท ของญี่ปุ่น แล้วไปที่เครื่องเล่นตามเวลาที่กำหนดบนบัตร โดยเราจะสามารถกดได้ 1 ใบในทุก ๆ 2 ชม. และ 1 ใบจะใช้ได้กับ 1 เครื่องเล่น(1 ครั้ง) แต่ทั้งนี้บัตร Priority Pass จะไม่สามารถใช้กับเครื่องเล่นยอดนิยมบางเครื่องได้นะคะ

บัตรลัดคิวอีกประเภทหนึ่งของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ คือ Disney Premier Access ซึ่งอันนี้จะเป็นแบบเสียเงินนะคะ ราคาประมาณ 350 - 600 บาทต่อ 1 คน/เครื่องเล่น  เมื่อเราซื้อบัตรนี้และนำไปสแกนที่หน้าแถวเครื่องเล่น เราจะได้เดินเข้าไปในแถวพิเศษทันที ซึ่งจะสั้นกว่าแถวปกติมาก ๆ อาจลดเวลาต่อคิวจาก 2 ชม. เหลือ 15 - 30 นาทีได้เลยค่ะ

 

 

 

รีวิวโซนและเครื่องเล่นต่าง ๆ

 

มาเริ่มต้นด้วยตารางสรุปคะแนนเครื่องเล่นต่าง ๆ ให้เห็นภาพรวมกันก่อนดีกว่าค่ะ

 

 

 

ต่อมาก็ไปแนะนำแต่ละโซนในปาร์คกันเลย!

 

โซนที่ 1: World Bazaar 

 



โซนนี้จะเป็นโซนแรกที่เราจะเดินเข้ามาเจอหลังจากเข้าปาร์คมาเลย จะเป็นโซนที่ตั้งของกิ๊ฟช็อปและร้านอาหารต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีร้านตู้เกมหยอดเหรียญอย่าง Penny Arcade ที่สร้างขึ้นมาในธีมร้านเกมในอเมริกายุคศตวรรษที่ 20 สิ่งที่เตะตาเราของที่นี่จะมีตู้ดูดวงหยอดเหรียญที่หยอดไปแล้วเราจะได้ใบคำทำนายกลับมา ส่วนที่เราไปเล่นมาจะเป็นตู้คีบตุ๊กตาจิ๋วที่เล่นไปแค่ครั้งเดียวก็ได้ตุ๊กตามาเลยค่ะ รู้สึกแฮปปี้มากเพราะตู้ไม่หลอกเอาเงิน

 

 

โซนที่ 2: Fantasyland

ดินแดนแห่งนิทานและเทพนิยาย สำหรับเรา เรานับโซนนี้เป็นดินแดนหัวใจหลักแห่ง โตเกียว ดิสนีย์แลนด์เลย เพราะที่นี่เป็นที่ตั้งของปราสาทเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า แลนมาร์คของสวนสนุกแห่งนี้  รวมทั้งยังเป็นโซนที่ตั้งของเครื่องเล่นซึ่งสร้างมาจากภาพยนตร์เจ้าหญิงและนิทานต่าง ๆ เช่น เรื่อง Snow White and the Seven Dwarfs หรือเรื่อง Beauty and the Beast

เครื่องเล่นที่เราได้ไปเล่นมาในโซนนี้ ได้แก่

 

Enchanted Tale of Beauty and the Beast 

 

 

เป็นเครื่องเล่นที่สร้างมาจากภาพยนตร์แอนิเมชั่นเรื่อง Beauty and the Beast ซึ่งขอย้ำเลยว่าใครที่มาเที่ยว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ห้ามพลาดเด็ดขาด เพราะเป็นเครื่องเล่นเปิดใหม่ล่าสุด และมีแค่ที่นี่เพียงที่เดียวเท่านั้น

โดยเราจะได้สัมผัสบรรยากาศของนิทานเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนเริ่มเดินเข้าไปต่อแถวข้ามสะพานเข้าสู่ปราสาทเจ้าชายอสูรกันเลย พอเราเดินกันเข้าไปถึงโถงของปราสาทเราก็จะได้ฟังเรื่องราวความเป็นมาว่าเจ้าชายรูปงามถูกสาปให้เป็นอสูรได้อย่างไร และจะได้พบเจอกับตัวละครเบลและเจ้าชายอสูรเป็นครั้งแรกหลังการเล่าเรื่องจบลงด้วย 

หลังจากที่เราฟังนิทานที่โถงปราสาทเสร็จแล้ว เราก็จะต้องเคลื่อนย้ายเข้าสู้อีกส่วนหนึ่งของปราสาท และต้องต่อแถวอีกเล็กน้อยเพื่อรอเล่นตัวเครื่องเล่นของจริง ซึ่งในระหว่างที่เคลื่อนที่ไปตามแถว เราก็จะได้พบกับตัวละครขวัญใจผู้ชมอย่าง ลูมิแอร์และค็อกสเวิร์ธ ซึ่งเป็นเอนิเมทรอนิกส์(หุ่นยนตร์)ที่เหมือนจริงสุด ๆ 

ถึงเวลาขึ้นเครื่องเล่นจริง เราก็จะได้ขึ้นนั่งบนรถที่รูปร่างเหมือนถ้วยน้ำชายักษ เจ้าถ้วยน้ำชานี้จะพาเราท่องไปในเรื่องราวของเบลตั้งแต่ตกลงยอมพักอยู่ที่ปราสาทกับเจ้าชายอสูร จนถึงตอนจบของเรื่องที่คำสาปของเจ้าชายอสูรได้คลายลง ในระหว่างการเล่นเราก็จะได้ฟังเพลงเพราะ ๆ จากในภาพยนตร์ ซึ่งบอกเลยว่าคนพากษ์เจ้าหญิงเบลภาษาญี่ปุ่นเสียงใสมากก 

น่าจะเป็นเพราะเครื่องเล่นนี้เป็นเครื่องเล่นที่ใหม่ที่สุดของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ซึ่งเพิ่งเปิดตัวเมื่อปี 2020 นี้เอง จึงทำให้เทคโนโลยีของเครื่องเล่นนี้ใหม่เอี่ยม สมจริง ลื่นไหล และสวยงามเหมือนกับสร้างด้วยเวษมนตร์จริง ๆ มาก ๆ อันนี้เป็นจุดที่เราประทับใจในเครื่องเล่นนี้เลย

แต่ขอแอบเตือนนิดนึงนะว่าคนที่เวียนหัวง่าย เล่นเครื่องนี้อาจจะมึนนิดนึงนะคะ เพราะเจ้าถ้วยน้ำชาที่เรานั่งจะหมุนไปหมุนมาเยอะพอสมควร แต่สำหรับเราที่เวียนหัวค่อนข้างง่ายเหมือนกัน เราว่าโอเคอยู่น้า อาจจะมึนแบบนิดเดียวเลยจริง ๆ ไม่ได้เวียนหัวมากจนไม่เอ็นจอย  ไม่อยากให้พลาดเลยจริง ๆ ค่ะเครื่องนี้ แนะนำมาก ๆ



Snow White’s Adventure

เครื่องเล่นนี้ถึงแม้จะได้ชื่อว่าสร้างมาจากนิทานเจ้าหญิงอย่างสโนว์ไวท์ แต่ไม่ใช่เครื่องเล่นที่น่ารักสดใสอย่างที่คิด เป็นเครื่องที่จะพาเราท่องเรื่องราวของสโนว์ไวท์หลังโดนขับไล่ออกจากปราสาท รถของเราจะเคลื่อนที่ไปช้า ๆ ผ่านป่าอันมืดมิดในยามรัตติกาล โดยรถแต่ละคันจะเว้นระยะห่างจนเราแทบจะไม่เห็นรถคันอื่น ๆ เลย ให้ความรู้สึกราวกับว่าเราเป็นเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ที่กำลังต้องเผชิญหน้ากับเส้นทางในป่าที่น่ากลัวเพียงลำพัง และในระหว่างทางเราก็จะต้องพบเจอกับราชินีที่แปลงร่างเป็นแม่มดมาคอยรังควานอยู่เรื่อย ๆ 

จะมีช่วงน่ารักสดใสให้ได้ชุ่มหัวใจอยู่เพียงแค่ตอนที่สโนว์ไวท์เดินทางไปถึงบ้านของคนแคระทั้งเจ็ด แต่โดยรวมแล้วเราคิดว่าบรรยากาศของเครื่องเล่นนี้ค่อนข้างจะวังเวงมากกว่าบ้านผีสิงอย่าง Haunted Mansion ซะอีก  อาจจะน่ากลัวสำหรับเด็ก ๆ ได้ถ้าพาลูกมานะคะ ทั้งนี้ทั้งนั้นคือเรารู้สึกว่ามันมีสเน่ห์น้าเครื่องเล่นนี้ ถ้าได้มาที่ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ อีกคงมาเล่นอีกแน่นอน

 

Peter Pan’s Flight

 

 

เป็นเครื่องเล่นที่เราประทับใจมากอีกเครื่องหนึ่งในหมู่เครื่องเล่นนิทานเทพนิยายของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ในเครื่องเล่นนี้ เราจะได้ตามรอยการผจญภัยของเวนดี้และน้องชายทั้งสอง ในการบินตามปีเตอร์แพนไปยังเนเวอร์แลนด์ ซึ่งการเดินทางของเราในครั้งนี้ก็เริ่มขึ้นตั้งแต่ในห้องนอนของเวนดี้เลย

รถที่เราจะได้นั่งไปในการท่องเรื่องราวครั้งนี้นั้นไม่ใช่รถที่วิ่งไปตามรางบนพื้นธรรมดา ๆ แต่เป็นกระเช้าเรือโจรสลัดลอยฟ้า ที่จะทำให้เราได้สัมผัสความรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่บนฟากฟ้าเหนือกรุงลอนดอนในยามราตรีจริง ๆ 

สิ่งที่เราประทับใจในเครื่องเล่นนี้คือความสร้างสรรค์และสวยงามของฉากและพร็อพต่าง ๆ ที่ช่วยให้เราได้หลุดเข้าไปอยู่ในเรื่องราวของปีเตอร์แพนและเวนดี้ เป็นเครื่องเล่นน่ารักที่สามารถเล่นได้เพลิน ๆ ชิว ๆ เลย  อยากให้ไปลองกันนะคะ

 

 

Haunted Mansion

บ้านผีสิงที่หนึ่งในใจเรา จากใจคนที่ปกติไม่ชอบเล่นบ้านผีสิงค่ะ  ด้วยความเป็นดิสนีย์ ถึงแม้จะเป็นเครื่องเล่นซึ่งมีธีมคือความน่าสลดสยอง แต่ก็ยังต้องเป็นมิตรกับเด็ก ๆ  บ้านผีสิงแห่งนี้จึงเป็นเครื่องเล่นที่ผสมผสานความขลังชวนขนลุกกับความตลกขบขันเอาไว้ด้วยกันได้อย่างกลมกลืนมาก ๆ สำหรับเราแล้วคฤหาสน์ร้างที่ไม่มีผู้อยู่อาศัยแม้แต่คนเดียวแห่งนี้ เป็นบ้านที่มีชีวิตชีวาสุด ๆ 

เรื่องราวความเป็นมาของคฤหาสน์ผีสิงแห่งนี้นั้นมีอยู่ด้วยกันแต่เวอร์ชั่น แต่ถ้าหากยึดเอาตามที่คุณ Ghost Host หรือคุณผีที่เป็นเหมือนทัวร์ไกด์พาเราเที่ยวไปในคฤหาสน์แห่งนี้บอกมา เส้นเรื่องหลัก ๆ ก็คือ ที่คฤหาสน์นี้มีผีอยู่ทั้งหมด 999 ตัว และกำลังรอให้เราไปเป็นผีตัวที่ 1000 เมื่อเราก้าวเท้าเข้ามาในบ้านหลับนี้แล้ว คำสาปของที่นี่จะตามติดเราไป จนเราต้องกลับมาที่บ้านนี้อีกครั้งเพื่อเป็นผีตัวที่ 1000 ค่ะ

เราคิดว่าเครื่องเล่นนี้เป็นบ้านผีสิงที่ทำออกมาได้สวยมากก ตัวผีส่วนมากจะทำออกมาเป็นแนววิญญาณโปรงแสง จะค่อยไม่มีผีแบบหน้าตาเละน่ากลัว แล้วก็แทบจะไม่มี jump scare เลยด้วย เราจะได้เห็นเหล่าแก๊งผีมาจัดงานเลี้ยงเต้นรำในห้องโถงของคฤหาสน์ หรือปาร์ตี้ร้องเพลงกันในสุสาน เป็นภาพแปลกตาที่ทำให้เราได้รู้สึกว่าชีวิตหลังความตายนั้นรื่นเริงได้ขนาดนี้เชียว เป็นอีกหนึ่งเครื่องเล่นที่ไม่ควรพลาดเลยใน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ นะคะ



It’s a Small World

 

 

หนึ่งในเครื่องเล่นคลาสสิกของดิสนีย์ที่ต้องลองเล่นสักครั้ง ไม่อย่างนั้นอาจรู้สึกเหมือนยังมาไม่ถึงดิสนีย์แลนด์ได้นะ! เป็นเครื่องเล่นที่เราจะได้ล่องเรือพร้อมชมตุ๊กตาเด็กน้อยซึ่งแต่งตายในชุดจากวัฒนธรรมต่าง ๆ ท่ามกลางฉากหลังที่รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อจำลองพื้นที่ท้องถิ่นต่าง ๆ บนโลก  เหล่าตุ๊กตาเด็กน้อยที่จะเต้นรำไปกับเพียง It’s a Small World ซึ่งมาเนื้อหาโดยสรุปคือเราทุกคนล้วนเป็นมิตรสหายกันภายในโลกใบเล็กนิดเดียวนี้ 

ความสนุกอีกอย่างหนึ่งของเครื่องเล่นนี้คือการเล็งหาตัวละครดิสนีย์ที่จะคอยแทรกอยู่ในฉากของประเทศต่าง ๆ ตามถิ่นกำเนิดของตน อย่างเช่น เจ้าหญิง Merida จากเรื่อง Brave มาโผล่อยู่ในฉากประเทศสกอตแลนด์ ราพันเซล ในฉากประเทศเยอรมัน หรือน้องลีโล่และเจ้าสติชในฮาวาย

ถือเป็นเครื่องเล่นพักเหนื่อยได้ดีมาก ๆ ใครเล่นรถไฟเหาะมาเหนื่อย ๆ หรือทานข้าวมาอิ่ม ๆ มาพักเล่นเครื่องนี้ก่อนได้เลยค่า 

แต่ใด ๆ คือบางคนก็บอกว่าเครื่องนี้แอบหลอนอยู่นะคะ ด้วยความที่มีตำนานเรื่องกุ๊กกู๋ผูกติดอยู่กับเจ้าเครื่องนี้อยู่พอสมควร และด้วยหน้าตาของตัวตุ๊กตาเด็กเองก็อาจจะแอบหลอนสำหรับบางคนด้วย สำหรับเครื่องบอกเลยว่าลูกไม่กลัวแต่พ่อแม่อาจจะกลัวได้ค่ะ(หยอกนะคะ) ยังไงก็ยังแนะนำเครื่องนี้ค่ะ นั่งเพลิน ๆ ฟิลกู๊ดมาก



Zone 3: Toontown

 

 

เป็นโซนที่สร้างไว้เหมือนเป็นเมืองที่อยู่ของตัวการ์ตูนในจักรวาลเรื่อง Mickey Mouse & Friends อย่าง มิกกี้และมินนี่เม้าส์ เดซี่และโดนัลดัค กู๊ฟฟี่ และพลูโต

เราคิดว่าโซนนี้น้อง ๆ หนู ๆ น่าจะชอบกันนะคะ เพราะตกแต่งเมืองออกมาได้น่ารัก เหมือนเป็นเมืองในการ์ตูนจริง ๆ  มีเครื่องเล่นแบบเบา ๆ เหมาะสำหรับเด็กน้อย นอกจากนี้เรายังสามารถไปมีตแอนด์กรี๊ตกับตัวการ์ตูนสุดโปรดถึงที่บ้านของแต่ละตัวละครได้เลย

สำหรับโซนนี้ส่วนตัวเราไม่ได้เข้าไปเล่นนะคะ เพราะเวลามีค่อนข้างจำกัดเลยทำให้ต้องรีบไปเก็บเครื่องเล่นที่อยากเล่นมาก ๆ ก่อน แต่ถ้าใครพาลูกมาเล่นโซนนี้คือห้ามพลาดเลย



โซนที่ 4: Adventureland

เป็นโซนที่ดิสนีย์สร้างขึ้นเพื่อจำลองดินแดนแปลกตาในทวีปที่ไกลโพ้นจากอเมริกาในความรู้สึกของคนสมัยวอลต์ ดิสนีย์ อย่างเกาะใกล้เส้นศูนย์สูตรต่าง ๆ อเมริกาใต้ หรือแอฟริกา 

 

เครื่องเล่นที่เราไปเล่นในโซนนี้มีเครื่องเดียวนะคะ ได้แก่

Pirates of the Caribbean


 

เป็นเครื่องเล่นซึ่งต่อมาได้สร้างเป็นภาพยนตร์ชุด Pirate of the Caribbean ที่หลาย ๆ รู้จักกันดีนั่นเอง โดยในเครื่องเล่นนี้เราจะได้ล่องเรือในยามค่ำคืนไปตามเส้นทางของ กัปตันโจรสลัดแจ็ก สแปร์โรว์ ที่ต้องการจะตามล่าสัมบัติที่ฝังอยู่บริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำในลุยเซียนาทางตอนใต้ของอเมริกา 

เราจะได้ผจญภัยผ่านถ้ำสมบัติใต้น้ำที่มีเพชรพลอยมากมาย ไปจนถึงหมู่บ้านในสเปนที่ที่เรือของกัปตันแจ็คสแปร์โรว์กำลังทำการต่อสู้ปล้นชิงกับทหารสเปน เป็นอีกเครื่องเล่นหนึ่งที่ทำฉากออกมาได้สวยสมจริงมาก ๆ 

เครื่องเล่นนี้มีจุดที่เรือจะดิ่งลงให้ได้หวาดเสียวแบบเบา ๆ มาก ๆ อยู่จุดหนึ่งค่ะ ใครที่อยากได้ความรู้สึกสนุกตื่นเต้นแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ไม่มากจนเกินไป เน้นชมภาพสวย ๆ เราแนะนำเครื่องเล่นนี้เลยค่ะ 

 

 

โซนที่ 5: Westernland

โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ เป็นสวนสนุกในเครือดิสนีย์เพียงแห่งเดียวที่มีโซน Westernland อยู่ แต่ถึงอย่างนั้นจะว่าโซนนี้เป็นเอกลักษณ์ของดิสนีย์แลนด์ที่ญี่ปุ่นก็อาจจะไม่เชิงนัก เพราะที่จริงแล้วที่ปาร์คอื่น ๆ ก็มีโซนนี้เหมือนกันเพียงแต่ใช้ชื่อ Frontierland ซึ่งเป็นการจำลองบรรยากาศของ Wild West หรือดินแดนแห่งคาวบอยและยุคตื่นทองที่อเมริกาในศตวรรษที่ 19

เครื่องเล่นที่เราได้ไปเล่นในโซนนี้ก็ได้แก่

 

Big Thunder Mountain

 

 

เครื่องเล่นรถไฟเหาะเครื่องแรกที่เราจะมาพูดถึงกันในบทความนี้  ซึ่งนับเป็นเครื่องเล่นแลนมาร์คเครื่องหนึ่งของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ เลย  ถึงแม้ชื่อและหน้าตาอาจจะดูน่าเกรงขาม แต่สำหรับเรา เราคิดว่าเครื่องนี้เป็นรถไฟเหาะที่สนุกและไม่น่ากลัวจนเกินไป เด็ก ๆ ก็สามารถเล่นได้สบาย ๆ  

เครื่องนี้จะไม่ได้มีจังหวะดิ่งแบบชันมาก ส่วนใหญ่จะเป็นการวนขึ้นและวนลงไปตามราง แต่ก็ยังถือว่ามีจุดที่ทำให้เราได้หวาดเสียวอยู่ สำหรับใครที่คาดหวังอยากเล่นอะไรที่หวาดเสียวมาก ๆ เครื่องนี้อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์เท่าไรนัก แต่ใครที่ชอบเครื่องเล่นหวาดเสียวระดับกลาง ๆ บวกกับการได้ดูฉากและพร็อพสวย ๆ สมจริงไปด้วย ไปเล่นเครื่องนี้คือจอยแน่นอน

สำหรับตำนานที่ทางดิสนีย์ได้แต่งให้กับรถไฟเหาะขบวนนี้มีอยู่ว่า ในยุคตื่นทองของอเมริกา หลังจากที่ชาวตะวันตกได้ค้นพบว่ามีทองอยู่ในภูเขาแห่งนี้เป็นจำนวนมาก ธุรกิจเหมืองมองในเมืองนี้ก็ได้รุ่งเรืองขึ้น ทว่าจริง ๆ แล้วภูเขาลูกนี้เป็นสถานที่ศักสิทธิ์ที่ชนพื้นเมืองเคารพบูชามาแต่ช้านาน แต่บริษัททำเหมืองทองชาวตะวันตกก็ได้เข้ามาครอบครอง ยึดภูเขาแห่งนี้ไปจากคนพื้นเมือง และใช้ประโยชน์จากมันโดยไม่สนใจอะไรนอกจากผลประโยชน์ของตนเอง  อยู่มาวันหนึ่ง ราวกับเทพเจ้าตั้งใจลงโทษพวกที่โลภมาก เกิดภัยพิบัติใหญ่ขึ้น ณ ภูเขาแห่งนี้  ธุระกิจเหมืองทองจึงต้องหยุดชะงัก เหมืองทองที่ได้รับความเสียหายหนักก็ถูกทิ้งร้างตั้งแต่นั้นมา แต่ทว่า เขาว่ากันว่ารถรางที่ใช้ขนทองทั้งหลายกลับสามารถวิ่งโลดแล่นไปบนรางได้ถึงแม้จะไม่มีคนบังคับ การที่เราขึ้นเล่นรถไฟเหาะนี้ก็เปรียบเสมือนเราได้ขึ้นไปนั่งบนเจ้าพวกรถรางผีสิงนั่นเอง

 

 

โซนที่ 6: Critter Country

เป็นโซนที่มาคู่กับ Westernland เพราะเป็นการจำลองบรรยากาศอเมริกายุคศตวรรษที่ 19 เช่นกัน แต่จะเน้นเป็นในส่วนของป่าอันเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่าง ๆ ตามชื่อ Critter Country ซึ่งแปลว่าดินแดนของเหล่าสรรพสัตว์ 

 

เครื่องเล่นที่เราได้ไปเล่นในโซนนี้ก็ได้แก่

 

Splash Mountain

 

 

ส่วนตัวเรามองว่าเครื่องเล่นล่องซุงนี้เป็นเครื่องเล่นที่หวาดเสียวที่สุดใน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ค่ะ  

เครื่องเล่นนี้สร้างมาจากภาพยนตร์เรื่อง Song of the South ของดิสนีย์ โดยจะไม่ได้หยิบยกเส้นเรื่องหลักของภาพยนตร์มาทำ แต่เป็นนิทานในเรื่อง ซึ่งเป็นเรื่องราวของเจ้ากระตายตัวหนึ่งที่ออกเดินทางจากบ้านหรือถิ่นที่อยู่เดิมที่มันอาศัยอยู่กับสัตว์อื่น ๆ มากมาย เพื่อไปหา Laughing Place หรือดินแดนที่มีแต่ความสุขและเสียงหัวเราะ แต่ระหว่างทางเจ้ากระต่ายก็โดนเจ้าหมาจิ้งจอกและหมีผู้เป็นตัวร้ายของเรื่องนี้มาเล่นงานจนต้องหนีตายกระโดดน้ำตกลงมา ท้ายที่สุดเจ้ากระต่ายก็ล้มเลิกการตามหา Laughing Place และกลับสู่บ้านหลังเดิมของมัน ซึ่งที่นั่นเจ้ากระต่ายก็ได้รับการต้อนรับกลับบ้านอย่างอบอุ่นจากเพื่อน ๆ สัตว์ทั้งหลาย

ซึ่งรถไฟเหาะขบวนนี้ก็จะพาเราติดตามการเดินทางของเจ้ากระต่ายในการไปหา Laughing Place ซึ่งในซีนที่เจ้ากระต่ายกระโดดลงน้ำตกในตอนจบก็คือจุดที่ซุงของเราจะดิ่งลงจากน้ำตกสู้พื้นน้ำที่ด้านล่างเช่นกัน เราคิดว่าดิ่งนี้เป็นการดิ่งที่หวาดเสียวที่สุดจากเครื่องเล่นทั้งหมดของที่นี่ แต่นอกจากการดิ่งใหญ่นี้และดิ่งเล็ก ๆ อีกประมาณ 2 ครั้งเหมือนเป็นการวอร์มอัพ เวลาส่วนใหญ่ในเครื่องเล่นนี้ก็จะเป็นการนั่งชิว ๆ ดูเหล่าสัตว์ต่าง ๆ ร้องเพลงกัน ได้ทั้งความเพลิดเพลินและความหวาดเสียวรวมกันในการเล่นครั้งเดียวเลยค่ะ



โซนที่ 7: Tomorrowland

โซนสุดท้ายของดิสนีย์แลนด์สำหรับรีวิวนี้ก็คือดินแดนแห่งโลกอนาคตอย่าง Tomorrowland นั่นเอง  สำหรับธีมของโซนก็แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าและโลกอวกาศนั่นเอง

โซน Tomorrowland นี้เป็นโซนที่ทางดิสนีย์ประสบปัญหามากที่สุดในการทำให้เวษมนตร์ความวิเศษของโซนนี้นั้นคงอยู่ไปในระยะยาว เพราะเทคโนโลยีก้าวไปข้างหน้าอยู่เสมอ ทางดิสนีย์แลนด์ที่อเมริกาก็ได้ล้มเลิกการพยายามสร้างโลกอนาคตแบบสมจริงในโซนนี้ แล้วเปลี่ยนไปเป็นการตกแต่งสไตล์ retrofuturism หรือธีมโลกอนาคตตามที่คนในอดีตคิดว่าจะเป็น เป็นสไตล์ที่เห็นได้ในภาพยนตร์อวกาศในยุค 50s นั่นเอง เพื่อคงความคลาสสิคไม่ใช่ดินแห่งอนาคตนี้กลายเป็นความล้าสมัย 

สำหรับโซน Tomorrowland ของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์นั้น ทางสวนสนุกมีแผนจะปิดปรับปรุงเพื่อที่จะทำการตกแต่งโซนใหม่ในปีนี้ และจะเปิดอีกครั้งในปี 2570 โดยคอนเซปต์ของ Tomorrowland ใหม่นี้คือการที่มนุษย์สามารถอยู่ได้อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ ทางสวนสนุกจะทำออกมาได้เป็นอย่างไร สวยแค่ไหนก็คงต้องรอดูกันนะคะ

 

เครื่องเล่นที่เราได้ไปเล่นในโซนนี้ก็ได้แก่

 

Space Mountain

 

 

เป็นรถไฟเหาะในที่มืดเครื่องเดียวใน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ และเป็นหนึ่งในเครื่องเล่นที่คนต่อแถวกันยาวเหยียดสุด ๆ  สำหรับเครื่องนี้ เราคิดว่าเป็นรถไฟที่เหวี่ยงแรงที่สุดในสวนสนุกนี้ค่ะ แต่จะไม่ค่อยมีจังหวะดิ่งแบบหวาดเสียวนะคะ ส่วนใหญ่จะเป็นการวิ่งโค้งขึ้นโค้งลงไปตามราง แต่เหวี่ยงแรงมากจริง ๆ ตอนไปเล่นคือเก็บแขนแล้วจับยึดราวกั้นบนเก้าอี้ไว้อย่างเดียวเลยค่ะ 

ในส่วนของแสงสีเราคิดว่าให้ความรู้สึกอาวองการ์ดได้ดีเลย แต่โดยส่วนตัวการเล่นแสงสีอาจจะไม่ได้ถูกใจเทสเรามาก และอาจจะไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังบินอยู่ในอวกาศมากขนาดนั้น นอกจากนี้คนที่ไม่ชอบที่แคบแบบเราอาจรู้สึกอึดอัดได้เล็กน้อย สำหรับเราคิดว่าเครื่องนี้ไม่ได้แย่ แต่เราอาจจะเลือกที่จะไม่กลับไปเล่นเครื่องนี้อีกหากได้ไป โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ในครั้งหน้า  ทั้งนี้ก็มีหลาย ๆ คนที่รีวิวว่าชอบเล่นเครื่องนี้มากอยู่นะคะ ถ้าใครไปครั้งแรกยังไงก็อยากให้ลองไปเล่นกันดูน้า

 

 

รีวิวอาหารใน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์

ต่อมา มาแนะนำของกินน่าลองใน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ กันบ้างดีกว่า อันนี้เราจะรีวิวของกินที่ส่วนตัวเราได้ทานมาน้า

 

1. ป๊อบคอร์น

 

 

ป๊อปคอร์นของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ นั้นมีความพิเศษคือมีรสชาติแปลก ๆ ให้เราได้ชิมกัน ซึ่งในแต่ละโซนก็จะขายรสชาติป๊อปคอร์นแตกต่างกันไป อย่างอันที่เราได้ทานมาเป็นรสโชยุนะคะ อร่อยแปลกใหม่ดีเลยค่ะ ส่วนรสอื่น ๆ ที่ในปาร์คมีก็อย่างเช่น รสแกงกะหรี่ รสน้ำผึ้ง แล้วก็รสมิลค์ช็อกโกแลตค่ะ 

 

 

2. ชูโรส

 

 

ชูโรสก็เช่นเดียวกับป๊อปคอร์นเลยค่ะ เป็นของหาทานง่ายประจำสวนสนุกแห่งนี้ มีรสแปลก ๆ ที่น่าสนใจอยู่ แต่อาจไม่ได้มีรสชาติให้เลือกเยอะเท่าป๊อบคอร์นนะคะ ส่วนตัวที่เราได้ไปทานมาจะเป็นรสซินนามอนค่ะ 

เราเห็นที่ร้านข้างเครื่องเล่นโฉมงามกับเจ้าชายอสูรมีชูโรสรสแอปเปิ้ลคาราเมลขายด้วยน้า เสียดายมากเลยที่ตอนนั้นไม่ได้ไปทาน



3. โมจิกรีนแมน

 

 

เป็นของกินที่พลาดไม่ได้เลยถ้าหากมาเยือน โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ด้วยหน้าตาที่น่ารักสุด ๆ และรสชาติที่อร่อยเอาเรื่อง ทำให้ใคร ๆ ต่างก็ต้องมากินเจ้าเซ็ตโมจิก้อนพวกนี้ สำหรับเราส่วนตัวเราคิดว่าไส้สตรอวเบอร์รี่อร่อยมากกก ๆ ส่วนอีกสองรส ไส้ครีมและไส้ช็อกโกแลต ก็อร่อยเหมือนกันแต่อาจจะไม่ได้ว้าวเท่าค่ะ อันนี้เค้าจะขายมาเป็นเซ็ต 3 ลูกคละรสเท่านั้น เลือกรสไม่ได้นะคะ ได้ลองชิมทั้ง 3 รสเหมือนกันหมดแน่นอน



4. อาหารในร้าน Queen of Hearts Banquet Hall

 

 

 

เป็นร้านอาหารในธีมราชินีแดงจากเรื่อง Alice in Wonderland ที่ตกแต่งทั้งด้านนอกและด้านในได้สวยมาก ๆ  มีที่นั่งให้นั่งแบบสบาย ๆ ตอนนั้นเราไปนั่งพักเหนื่อยหลบฝนคือฟินมาก ๆ  ซึ่งนอกจากตัวร้านจะสวยแล้วอาหารที่นี่รสชาติยังอร่อยไม่แพ้หน้าตาอีกด้วย เมนูที่เราสั่งมาทานคือ Flank Steak with Japanese Sauce ค่ะ คือเป็นเสต็กเนื้อนุ่มราดซอสสไตล์ญี่ปุี่นและมีเครื่องเคียงต่าง ๆ นอกจอกนี้เรายังอดใจไม่ไหว หยิบขนมหวานมาด้วย 1 อย่างคือเหมือนจะเหมือนคัสตาร์ตหรือพุดดิ้งนมในถ้วยแก้วลายน่ารัก ซึ่งทานเสร็จแล้วเรายังสามารถเก็บแก้วกลับบ้านได้อีกด้วย



 

สิ่งที่ต้องทำเมื่อไป โตเกียว ดิสนีย์แลนด์

จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าสิ่งที่ "ต้องทำ" ก็อาจจะดูบังคับกันเกินไปหน่อย เอาเป็นว่าเป็นสิ่งที่คนเขานิยมทำกันเมื่อไป โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ แล้วกันนะค้า จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย

 

1. ซื้อที่คาดผมหูมิกกี้/มินนี่ เม้าส์

 

 

การซื้อเครื่องหัวอย่างที่คาดผมหรือหมวกรูปตัวการ์ตูนดิสนีย์ต่าง ๆ ใส่เที่ยวในสวนสนุกนับเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่งในการมาเที่ยวดิสนีย์แลนด์ไม่ว่าจะเป็นปาร์คไหนก็ตาม จะใส่ไปถ่าย mirror selfie ในร้านกิ๊ฟช็อปหรือจะใส่ไปถ่ายรูปตามจุดต่าง ๆ ก็เก๋สุด ๆ แต่เวลาไปเล่นเครื่องเล่นก็อย่าลืมเก็บที่คาดผมให้เรียบร้อยด้วยนะค้า

 

 

2. ถ่ายรูปกับปราสาทเจ้าหญิง

 

 

แลนมาร์คถ่ายรูปสำคัญของ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ก็คงจะหนีไม่พ้นปราสาทเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า ซึ่งจุดที่คนนิยมชอบไปถ่ายรูปกับปราสาทกับก็จะมีบริเวณสนามหญ้าหน้าปราสาท และสะพานข้างปราสาทค่า

 

 

3. ดูขบวนพาเหรด

 

 

ขบวนพาเหรดของดิสนีย์แลนด์นั้นขึ้นชื่อเรื่องความสวยงาม น่ารัก อลังการ และน่าตื่นตาตื่นใจอยู่แล้ว ในขบวนก็จะมีตัวละครดิสนีย์ต่าง ๆ บนรถของตนมาโชว์ตัวให้เราดูจนต้องยิ้มไปพร้อม ๆ กัน โดยขบวนพาเหรดจะมีตอนกลางวัน 1 ครั้ง ประมาณช่วง 14:00 น. และพาเหรดตอนกลางคืนที่จะเริ่มประมาณช่วง 18:30 - 19:30 น. แต่น่าเสียดายที่วันที่เราไปฝนตกทางปาร์คเลยยกเลิกขบวนพาเหรดตอนกลางคืนค่ะ 

ส่วนใครที่ไม่ใช่สายดูพาเหรด ช่วงดูพาเหรดนี่สำคัญมากเลยค่ะ เพราะจะเป็นช่วงที่แถวเครื่องเล่นสั้นลงเนื่องจากคนไปมุงดูพาเหรดกัน ใครที่เล็งเครื่องเล่นไหนไว้แล้วยังไม่ได้ไปเล่น รีบวิ่งไปช่วงนี้ได้เลยค่ะ!

 

 

4. ซื้อขนมของฝากจากร้านกิ๊ฟช็อป

ส่วนตัวเราชอบขนมจากกิ๊ฟช็อปที่ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ มากกก เป็นขนมที่มีบรรจุภัณฑ์น่ารัก ผสมผสานความเป็นดิสนีย์กับความเป็นญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว และตัวขนมโดยเฉพาะพวกคุกกี้ก็รสชาติอร่อยแบบไม่ธรรมดาเลย ซื้อไปเป็นของฝากก็ดี หรือจะซื้อไปกินไปเก็บเองก็ถือเป็นของขวัญให้ตัวเองได้ดีเช่นกัน

ก็จบไปแล้วนะคะกับการรีวิวครั้งนี้ หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากรีวิวนี้ไปบ้างไม่มากก็น้อยนะค้า ขอให้ทุกคนได้วางแพลนทริปอย่างราบรื่นและไปสนุกกันที่ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์กันให้เต็มที่เลยค่า

 

 

แพ็กเกจทัวร์เที่ยวโตเกียว

 

ถ้าใครขี้เกียจวางแพลนเที่ยวโตเกียวด้วยตัวเอง ลองมาซื้อทัวร์ญี่ป่นกับเราดูได้น้า ทัวร์เหล่านี้เป็นทัวร์ที่เราจะได้ไปเที่ยว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ และที่เที่ยวยอดนิยมอื่น ๆ อีกมากมายกับเราแบบสะดวกสบาย ในราคาประหยัดสุด ๆ 

 

 

1. โตเกียว + ยามานาชิ 5 วัน 3 คืน: ชมวิวฟูจิ + ทุ่งลาเวนเดอร์ + ออนเซ็น + โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (ตัวเลือกเสริม)

 

2. โตเกียว + ยามานาชิ 5 วัน 3 คืนนั่งกระเช้าคาจิคาจิ + โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (ตัวเลือกเสริม)

 

3. โตเกียว + ยามานาชิ 6 วัน 4 คืน: ชมวิวฟูจิ + เจดีย์ชูเรโตะ + โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (ตัวเลือกเสริม)

 

4. โตเกียว + นากาโนะ 6 วัน 4 คืน: คามิโคจิ + ทุ่งลาเวนเดอร์ + โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (ตัวเลือกเสริม)

 

5. โตเกียว + นากาโนะ 6 วัน 4 คืนคามิโคจิ + ฟูจิ + เทศกาลพิงก์มอส + โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ (ตัวเลือกเสริม)




และการรีวิว โตเกียว ดิสนีย์แลนด์ ในครั้งนี้ก็ได้จบไปแล้วนะค้า หวังว่าทุกคนจะได้ประโยชน์จากรีวิวนี้ไปบ้างไม่มากก็น้อยนะคะ  ขอให้ทุกคนวางแพลนทริปเที่ยวญี่ปุ่นครั้งนี้ได้อย่างราบรื่น หรือใครไม่อยากวางแพลนเองก็จัดแพ็กเกจทัวร์ได้เลย แล้วไปสนุกกันที่ โตเกียว ดิสนีย์แลนด์กันให้เต็มที่เลยค่า

 

 

ตั๋วที่น่าสนใจ